ทีมชาติไทย ยังคงรอคอยถ้วยแชมป์ คิงส์ คัพ กลับมาอีกครั้ง หลังพลาดท่าปราชัยอิรัก ในการดวลลูกจุดโทษด้วยสกอร์รวม 6-7 (เสมอในเวลาปกติ 2-2) แม้จะผิดหวัง แต่มันก็มีสิ่งดีๆ อยู่บ้าง และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[ 1 ] โพลกิ้ง จัดทัพถูกใจแฟนๆ
อเล็กซานเดร โพลกิ้ง มีการปรับตำแหน่งหลายจุดจากเกมในนัดแรก ไล่ตั้งแต่เปลี่ยนระบบมาเล่น 4-3-3 ตามถนัด (เกมชนะเลบานอน ใช้ 3-5-2) โดยเปลี่ยนเอา เอเลียส ดอเลาะ มายืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ พรรษา เหมวิบูลย์ พร้อมกับดัน กฤษดา กาแมน และ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ กลับไปอยู่ในแผงมิดฟิลด์ตามถนัด
- กัปตันอุ้ม โพสต์ข้อความถึง มาโน่ และมิกกี้
- ผ่าน 1 ทศวรรษ! ทีมชาติไทยได้โทรฟี่คิงส์คัพแค่ 2 ครั้ง แต่ยังครองแชมป์มากที่สุด
- ทีมชาติไทยอกหักชวดแชมป์คิงส์คัพ พ่ายจุดโทษอิรักหวุดหวิด
ฟูลแบ็ก ฝั่งซ้าย ธีราทร บุญมาทัน กลับมาประจำการ ส่วนฟากขวา นิโคลัส มิคเคลสัน ครองพื้นที่ตามเดิม
การที่ เอเลียส กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง น่าจะมาจากฝั่งอิรัก นั้นเต็มไปด้วยนักเตะตัวใหญ่ยักษ์ กุนซือวัย 47 ปี จึงจำเป็นต้องใช้ผู้เล่นที่เก่งกาจในเรื่องของลูกกลางอากาศ เพราะความสูง 1.98 เมตร นั้นช่วยทีมได้ทั้งเกมรับและรวมไปถึงตอนที่ทัพช้างศึกบุกใส่คู่แข่ง
ADVERTISEMENT
ดังนั้นแดนกลาง พอมี กฤษดา และ วีระเทพ ซึ่งเป็นนักเตะที่ครองบอลดี คนหนึ่งวางบอลยาวได้ลุ้น อีกคนหนึ่งจ่ายบอลสั้นแม่นยำ มันจึงทำให้ สารัช อยู่เย็น ขยับไปยืนเป็นเพลย์เมเกอร์อยู่หลังแนวรุกด้านบน
มันอาจจะไม่ใช่ภาพที่คุ้นชินนัก ทว่านักเตะเชือกวิเศษเคยเล่นตำแหน่งนี้มาแล้วตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชน จึงไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก อีกทั้งการมี ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งเข้าขารู้ใจกันเป็นอย่างดี ยืนค้ำข้างหน้าก็ช่วยให้เขางานเบาไปเยอะ
ADVERTISEMENT
แต่ที่น่าจะถูกอกถูกใจแฟนฟุตบอลชาวไทยที่สุดคือการใช้ สุภโชค สารชาติ ในตำแหน่งตัวรุกด้านข้าง แม้จะอยู่ฝั่งขวา แต่เขาก็สำแดงเดชด้วยการทำไป 1 แอสซิสต์ให้ บดินทร์ ผาลา โหม่งตีเสมอ 2-2
ด้วยตัวนักเตะและผังการเล่น แม้จะมีขัดใจนิดๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมต้องถือว่าโอเคกว่านัดแรกมากทีเดียว
[ 2 ] สนามลื่นทำเกมไม่ต่อเนื่อง
การที่ฝนตกลงมาอย่างหนักตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน จนทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปราวๆ 30 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนามทำการเคลียร์น้ำที่ขังในหลายๆ จุด นั้นส่งผลต่อการเล่นของทั้งไทย และอิรัก อย่างแท้จริง
ทั้งทัพช้างศึกและสิงโตแห่งเมโสโปเตเมีย เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลกับพื้นเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเจอสภาพสนามที่ชื้นแฉะ จึงไม่สามารถใช้จุดเด่นออกมาได้เต็มประสิทธิภาพ
ฝั่งไทย ก็มีหลายๆ จังหวะที่ไม่สามารถต่อบอลแบบเท้าต่อเท้าตามถนัด จนทำให้สปีดเกมลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่อิรัก อาจจะได้เปรียบเล็กน้อยตรงที่พวกเขาอุดมไปด้วยนักเตะสูงใหญ่ จึงใช้จุดแข็งจุดนี้โจมตี และมันก็นำมาซึ่งประตูแรกนั่นเอง
หากว่าสภาพภูมิอากาศเป็นใจกว่านี้ บางทีรูปเกมอาจจะเปลี่ยนไปอีกอย่าง และแฟนๆ คงจะได้เห็นการสู้กันอย่างสนุกของทั้ง 2 ทีม
[ 3 ] ธีราทร กับลูกเปิดระดับ 'เวิร์ลคลาส' ของเขา
ประตูตีเสมอ 1-1 ต้องยกเครดิตให้ ธีราทร บุญมาทัน แบบเต็มๆ กับแอสซิสต์ระดับ 'เวิร์ลคลาส' ที่วางบอลจากฟากซ้ายลอยไกลไปให้ นิโคลัส มิคเคลสัน เติมขึ้นมาโขกเน้นๆ อย่างแม่นยำ
การจ่ายบอลให้เพื่อทำประตูนี้เป็นแอสซิสต์ที่ 12 ของอดีตแชมป์ เจลีก ที่ทำได้ในยุคของ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง (คุมทีม 33 นัด) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เหลือเชื่อมากๆ เพราะอย่าลืมว่าแข้งวัย 33 ปี เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายและสลับเป็นกองกลางบ้างในบางคราว
คุณประโยชน์ของ ธีราทร ไม่ได้มีแค่เรื่องของการแอสซิสต์ หากแต่ยังเพิ่มบวกในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม, การควบคุมสถานการณ์ที่กดดัน, คอยประคองรุ่นน้อง หรือแม้แต่เรื่องของความฮึกเหิมที่เขามักจะส่งกระแสไปถึงแฟนๆ รวมถึงผู้เล่นด้วยกัน
ภาพชัดคือจังหวะที่ มิคเคลสัน โหม่งประตูแรกในนามทีมชาติไทย เขาแหกปากดีใจ พร้อมกับทะยานมาดีใจกับกัปตันช้างศึกในทันที
ด้วยสภาพร่างกายที่ยังฟิตปั๋ง แถมยังเป็นผู้เล่นที่ฉลาดเป็นกรด ทำให้เขาน่าจะโลดแล่นในเกมระดับสูงได้อีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ทว่าต่อจากนี้นี่แหละคือโจทย์ใหญ่ที่ต้องควานหา 'ตัวแทน' แบ็กซ้ายในอนาคต เพราะมาตรฐานที่ ธีราทร สร้างไว้ คงยากที่จะนำคนอื่นมาเทียบเทียม
[ 4 ] ฉัตรชัย ไว้ใจได้เสมอ
แม้จะเสียไป 2 ประตู ซึ่งเป็นลูกยิงระยะเผาขนที่หมดปัญญาที่จะป้องกัน แต่เมื่อมองไปที่ภาพรวม ผลงานของ ฉัตรชัย บุตรพรม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม และน่าจะทำให้แผงหลังอุ่นใจได้อีกนาน
ความเก่งกาจของจอมหนึบชาวกำแพงเพชร ไม่ได้มีเพียงแค่การเซฟ เพราะเขาเป็นผู้รักษาประตูที่อ่านเกมอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จาก 2 จังหวะ ในแมตช์เสมออิรัก 2-2 ที่ออกมาดักทางได้ก่อนที่กองหน้าคู่แข่งจะถึงบอล
แม้มันจะค่อนข้างหวาดเสียว แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาคือเรื่องของ 'สมาธิ' ที่จดจ่ออยู่กับการแข่งขันในสนาม จนสามารถช่วยกองหลังที่อาจจะพลั้งเผลออยู่บ้าง
นอกจากนี้ การเปิดบอลจากแดนตัวเองของ ฉัตรชัย ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจังหวะที่ส่งให้ สุภโชค สารชาติ อย่างแม่นยำในนาทีที่ 36 ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่านายทวารวัย 36 ปี มีสายตาเฉียบแหลมเพียงใด
หากยังรักษามาตรฐานได้ในระดับนี้อย่างต่อเนื่อง รับประกันเลยว่าเขาคงจะครองตำแหน่ง 'มือหนึ่ง' ให้ทัพช้างศึกไปอีกหลายปีทีเดียว
ส่วนในช่วงดวลลูกจุดโทษ เรื่องนี้คงจะกล่าวโทษผู้รักษาประตูจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด คงไม่ได้ เพราะเขาเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถและก็เกือบเซฟได้เช่นกัน แต่ฝั่งอิรัก นั้นยิงได้เฉียบขาดจริงๆ
[ 5 ] มาตรฐานของไทย ขยับขึ้นอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ทีมชาติไทย เผชิญหน้ากับอิรัก มาแล้ว 4 หน (ไม่นับรวม คิงส์ คัพ 2023) และก็ไม่มีครั้งใดที่ทัพช้างศึกสามารถเอาชนะสิงโตแห่งเมโสโปเตเมียได้เลย นับถึงปัจจุบันก็เป็นปีที่ 9 ติดต่อกันแล้ว
โดย 4 เกมก่อนหน้านั้นผลสกอร์ปรากฏดังนี้
8 กันยายน 2015 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 2) ไทย 2 - 2 อิรัก
24 มีนาคม 2016 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 2) อิรัก 2 - 2 ไทย
11 ตุลาคม 2016 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 3) อิรัก 4 - 0 ไทย
31 สิงหาคม 2017 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 3) ไทย 1 - 2 อิรัก
ตลอดทั้ง 4 เกม นอกจากไทย จะไม่สามารถเอาชัยเหนือคู่แข่งรายนี้ได้ รูปเกมที่ออกมาในแต่ละนัดก็เป็นรองอยู่พอสมควร เพราะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเล่นบ้านใคร อิรัก ก็จะเป็นฝ่ายไล่โขยกช้างศึกอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม คิงส์ คัพ 2023 รอบชิงชนะเลิศ กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพราะว่าไทย สามารถครองเกมกดดันอาคันตุกะจากเอเชียตะวันตกได้เกือบตลอดทั้ง 90 นาทีในสนาม แถมหลายๆ จังหวะอิรัก ต้องงัดลูกหนักเพื่อหยุดนักเตะแดนขวานทอง จนโดนใบเหลืองไปถึง 3 คน
จากสิ่งที่นักเตะไทย แสดงออกมาในสนาม หัวใจนักสู้ และรวมถึงแท็กติกต่างๆ ที่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ได้วางไว้ มันสะท้อนให้เห็นแบบชัดเจนว่ามาตรฐานของไทย ขยับสูงขึ้นอย่างแท้จริง
ทว่าก็ยังมีเรื่องที่ต้องพัฒนากันต่อคือเรื่องของความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงการเปลี่ยนจากรับเป็นรุกที่ยังทำได้ไม่ดีนัก ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการปรับแก้และเรียนรู้
แต่การที่ห้ำหั่นกับอิรัก ได้แบบเหนือกว่าเช่นนี้ มันเป็นสัญญาณในทิศทางบวกว่าเรากำลังไปได้สวยในโลกลูกหนัง ขอเพียงทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน โดยมีผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ช่วยกันพัฒนารากฐานเยาวชน ให้ความรู้เรื่องฟุตบอลอย่างทั่วถึง และไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
รับประกันเลยว่าอนาคตอันใกล้นี้ คงจะได้เห็นทัพช้างศึกต่อกรกับชาติใหญ่ๆ ได้อย่างสูสีแน่นอน
สล็อต365 UFA365 แทงบอล365
UFA365 สมัครฟรี คลิ๊กเลย ➢
https://ufa365d.ibetauto.com/ufa365d/ufabet/register
สอบถามเพิ่มเติม
𝙇𝙄𝙉𝙀 : @ufa365d
ทีมชาติไทย ยังคงรอคอยถ้วยแชมป์ คิงส์ คัพ กลับมาอีกครั้ง หลังพลาดท่าปราชัยอิรัก ในการดวลลูกจุดโทษด้วยสกอร์รวม 6-7 (เสมอในเวลาปกติ 2-2) แม้จะผิดหวัง แต่มันก็มีสิ่งดีๆ อยู่บ้าง และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[ 1 ] โพลกิ้ง จัดทัพถูกใจแฟนๆ
อเล็กซานเดร โพลกิ้ง มีการปรับตำแหน่งหลายจุดจากเกมในนัดแรก ไล่ตั้งแต่เปลี่ยนระบบมาเล่น 4-3-3 ตามถนัด (เกมชนะเลบานอน ใช้ 3-5-2) โดยเปลี่ยนเอา เอเลียส ดอเลาะ มายืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ พรรษา เหมวิบูลย์ พร้อมกับดัน กฤษดา กาแมน และ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ กลับไปอยู่ในแผงมิดฟิลด์ตามถนัด
- กัปตันอุ้ม โพสต์ข้อความถึง มาโน่ และมิกกี้
- ผ่าน 1 ทศวรรษ! ทีมชาติไทยได้โทรฟี่คิงส์คัพแค่ 2 ครั้ง แต่ยังครองแชมป์มากที่สุด
- ทีมชาติไทยอกหักชวดแชมป์คิงส์คัพ พ่ายจุดโทษอิรักหวุดหวิด
ฟูลแบ็ก ฝั่งซ้าย ธีราทร บุญมาทัน กลับมาประจำการ ส่วนฟากขวา นิโคลัส มิคเคลสัน ครองพื้นที่ตามเดิม
การที่ เอเลียส กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง น่าจะมาจากฝั่งอิรัก นั้นเต็มไปด้วยนักเตะตัวใหญ่ยักษ์ กุนซือวัย 47 ปี จึงจำเป็นต้องใช้ผู้เล่นที่เก่งกาจในเรื่องของลูกกลางอากาศ เพราะความสูง 1.98 เมตร นั้นช่วยทีมได้ทั้งเกมรับและรวมไปถึงตอนที่ทัพช้างศึกบุกใส่คู่แข่ง
ADVERTISEMENT
ดังนั้นแดนกลาง พอมี กฤษดา และ วีระเทพ ซึ่งเป็นนักเตะที่ครองบอลดี คนหนึ่งวางบอลยาวได้ลุ้น อีกคนหนึ่งจ่ายบอลสั้นแม่นยำ มันจึงทำให้ สารัช อยู่เย็น ขยับไปยืนเป็นเพลย์เมเกอร์อยู่หลังแนวรุกด้านบน
มันอาจจะไม่ใช่ภาพที่คุ้นชินนัก ทว่านักเตะเชือกวิเศษเคยเล่นตำแหน่งนี้มาแล้วตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชน จึงไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก อีกทั้งการมี ธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งเข้าขารู้ใจกันเป็นอย่างดี ยืนค้ำข้างหน้าก็ช่วยให้เขางานเบาไปเยอะ
ADVERTISEMENT
แต่ที่น่าจะถูกอกถูกใจแฟนฟุตบอลชาวไทยที่สุดคือการใช้ สุภโชค สารชาติ ในตำแหน่งตัวรุกด้านข้าง แม้จะอยู่ฝั่งขวา แต่เขาก็สำแดงเดชด้วยการทำไป 1 แอสซิสต์ให้ บดินทร์ ผาลา โหม่งตีเสมอ 2-2
ด้วยตัวนักเตะและผังการเล่น แม้จะมีขัดใจนิดๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมต้องถือว่าโอเคกว่านัดแรกมากทีเดียว
[ 2 ] สนามลื่นทำเกมไม่ต่อเนื่อง
การที่ฝนตกลงมาอย่างหนักตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน จนทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปราวๆ 30 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนามทำการเคลียร์น้ำที่ขังในหลายๆ จุด นั้นส่งผลต่อการเล่นของทั้งไทย และอิรัก อย่างแท้จริง
ทั้งทัพช้างศึกและสิงโตแห่งเมโสโปเตเมีย เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลกับพื้นเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเจอสภาพสนามที่ชื้นแฉะ จึงไม่สามารถใช้จุดเด่นออกมาได้เต็มประสิทธิภาพ
ฝั่งไทย ก็มีหลายๆ จังหวะที่ไม่สามารถต่อบอลแบบเท้าต่อเท้าตามถนัด จนทำให้สปีดเกมลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่อิรัก อาจจะได้เปรียบเล็กน้อยตรงที่พวกเขาอุดมไปด้วยนักเตะสูงใหญ่ จึงใช้จุดแข็งจุดนี้โจมตี และมันก็นำมาซึ่งประตูแรกนั่นเอง
หากว่าสภาพภูมิอากาศเป็นใจกว่านี้ บางทีรูปเกมอาจจะเปลี่ยนไปอีกอย่าง และแฟนๆ คงจะได้เห็นการสู้กันอย่างสนุกของทั้ง 2 ทีม
[ 3 ] ธีราทร กับลูกเปิดระดับ 'เวิร์ลคลาส' ของเขา
ประตูตีเสมอ 1-1 ต้องยกเครดิตให้ ธีราทร บุญมาทัน แบบเต็มๆ กับแอสซิสต์ระดับ 'เวิร์ลคลาส' ที่วางบอลจากฟากซ้ายลอยไกลไปให้ นิโคลัส มิคเคลสัน เติมขึ้นมาโขกเน้นๆ อย่างแม่นยำ
การจ่ายบอลให้เพื่อทำประตูนี้เป็นแอสซิสต์ที่ 12 ของอดีตแชมป์ เจลีก ที่ทำได้ในยุคของ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง (คุมทีม 33 นัด) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เหลือเชื่อมากๆ เพราะอย่าลืมว่าแข้งวัย 33 ปี เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายและสลับเป็นกองกลางบ้างในบางคราว
คุณประโยชน์ของ ธีราทร ไม่ได้มีแค่เรื่องของการแอสซิสต์ หากแต่ยังเพิ่มบวกในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม, การควบคุมสถานการณ์ที่กดดัน, คอยประคองรุ่นน้อง หรือแม้แต่เรื่องของความฮึกเหิมที่เขามักจะส่งกระแสไปถึงแฟนๆ รวมถึงผู้เล่นด้วยกัน
ภาพชัดคือจังหวะที่ มิคเคลสัน โหม่งประตูแรกในนามทีมชาติไทย เขาแหกปากดีใจ พร้อมกับทะยานมาดีใจกับกัปตันช้างศึกในทันที
ด้วยสภาพร่างกายที่ยังฟิตปั๋ง แถมยังเป็นผู้เล่นที่ฉลาดเป็นกรด ทำให้เขาน่าจะโลดแล่นในเกมระดับสูงได้อีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ทว่าต่อจากนี้นี่แหละคือโจทย์ใหญ่ที่ต้องควานหา 'ตัวแทน' แบ็กซ้ายในอนาคต เพราะมาตรฐานที่ ธีราทร สร้างไว้ คงยากที่จะนำคนอื่นมาเทียบเทียม
[ 4 ] ฉัตรชัย ไว้ใจได้เสมอ
แม้จะเสียไป 2 ประตู ซึ่งเป็นลูกยิงระยะเผาขนที่หมดปัญญาที่จะป้องกัน แต่เมื่อมองไปที่ภาพรวม ผลงานของ ฉัตรชัย บุตรพรม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม และน่าจะทำให้แผงหลังอุ่นใจได้อีกนาน
ความเก่งกาจของจอมหนึบชาวกำแพงเพชร ไม่ได้มีเพียงแค่การเซฟ เพราะเขาเป็นผู้รักษาประตูที่อ่านเกมอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จาก 2 จังหวะ ในแมตช์เสมออิรัก 2-2 ที่ออกมาดักทางได้ก่อนที่กองหน้าคู่แข่งจะถึงบอล
แม้มันจะค่อนข้างหวาดเสียว แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาคือเรื่องของ 'สมาธิ' ที่จดจ่ออยู่กับการแข่งขันในสนาม จนสามารถช่วยกองหลังที่อาจจะพลั้งเผลออยู่บ้าง
นอกจากนี้ การเปิดบอลจากแดนตัวเองของ ฉัตรชัย ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจังหวะที่ส่งให้ สุภโชค สารชาติ อย่างแม่นยำในนาทีที่ 36 ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่านายทวารวัย 36 ปี มีสายตาเฉียบแหลมเพียงใด
หากยังรักษามาตรฐานได้ในระดับนี้อย่างต่อเนื่อง รับประกันเลยว่าเขาคงจะครองตำแหน่ง 'มือหนึ่ง' ให้ทัพช้างศึกไปอีกหลายปีทีเดียว
ส่วนในช่วงดวลลูกจุดโทษ เรื่องนี้คงจะกล่าวโทษผู้รักษาประตูจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด คงไม่ได้ เพราะเขาเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถและก็เกือบเซฟได้เช่นกัน แต่ฝั่งอิรัก นั้นยิงได้เฉียบขาดจริงๆ
[ 5 ] มาตรฐานของไทย ขยับขึ้นอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ทีมชาติไทย เผชิญหน้ากับอิรัก มาแล้ว 4 หน (ไม่นับรวม คิงส์ คัพ 2023) และก็ไม่มีครั้งใดที่ทัพช้างศึกสามารถเอาชนะสิงโตแห่งเมโสโปเตเมียได้เลย นับถึงปัจจุบันก็เป็นปีที่ 9 ติดต่อกันแล้ว
โดย 4 เกมก่อนหน้านั้นผลสกอร์ปรากฏดังนี้
8 กันยายน 2015 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 2) ไทย 2 - 2 อิรัก
24 มีนาคม 2016 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 2) อิรัก 2 - 2 ไทย
11 ตุลาคม 2016 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 3) อิรัก 4 - 0 ไทย
31 สิงหาคม 2017 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก, รอบ 3) ไทย 1 - 2 อิรัก
ตลอดทั้ง 4 เกม นอกจากไทย จะไม่สามารถเอาชัยเหนือคู่แข่งรายนี้ได้ รูปเกมที่ออกมาในแต่ละนัดก็เป็นรองอยู่พอสมควร เพราะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเล่นบ้านใคร อิรัก ก็จะเป็นฝ่ายไล่โขยกช้างศึกอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม คิงส์ คัพ 2023 รอบชิงชนะเลิศ กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพราะว่าไทย สามารถครองเกมกดดันอาคันตุกะจากเอเชียตะวันตกได้เกือบตลอดทั้ง 90 นาทีในสนาม แถมหลายๆ จังหวะอิรัก ต้องงัดลูกหนักเพื่อหยุดนักเตะแดนขวานทอง จนโดนใบเหลืองไปถึง 3 คน
จากสิ่งที่นักเตะไทย แสดงออกมาในสนาม หัวใจนักสู้ และรวมถึงแท็กติกต่างๆ ที่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ได้วางไว้ มันสะท้อนให้เห็นแบบชัดเจนว่ามาตรฐานของไทย ขยับสูงขึ้นอย่างแท้จริง
ทว่าก็ยังมีเรื่องที่ต้องพัฒนากันต่อคือเรื่องของความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงการเปลี่ยนจากรับเป็นรุกที่ยังทำได้ไม่ดีนัก ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการปรับแก้และเรียนรู้
แต่การที่ห้ำหั่นกับอิรัก ได้แบบเหนือกว่าเช่นนี้ มันเป็นสัญญาณในทิศทางบวกว่าเรากำลังไปได้สวยในโลกลูกหนัง ขอเพียงทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน โดยมีผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ช่วยกันพัฒนารากฐานเยาวชน ให้ความรู้เรื่องฟุตบอลอย่างทั่วถึง และไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
รับประกันเลยว่าอนาคตอันใกล้นี้ คงจะได้เห็นทัพช้างศึกต่อกรกับชาติใหญ่ๆ ได้อย่างสูสีแน่นอน
สล็อต365 UFA365 แทงบอล365
UFA365 สมัครฟรี คลิ๊กเลย ➢ https://ufa365d.ibetauto.com/ufa365d/ufabet/register
สอบถามเพิ่มเติม 🆔 𝙇𝙄𝙉𝙀 : @ufa365d